Home > Royalty > Thailand > 7 พระราชกรณียกิจ ‘ในหลวง รัชกาลที่ 10’ ดูแลทุกข์สุขอาณาราษฎร

นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจ นานัปการเพื่อความอุดมสมบูรณ์ สงบร่มเย็น ของประเทศไทย และหลอมรวมจิตใจคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยที่จะสืบสานรักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริ และพระราชกรณียกิจ ในพระบรมชนกนาถ และพระบรมราชชนนี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 HELLO! จึงร้อยเรียง 7 พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ที่ทรงปฏิบัติเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้อาณาราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนบนผืนแผ่นดินไทย 

พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ คณะกรรมการมูลนิธิม.ท.ศ. นำนักเรียนผู้รับทุนการศึกษาพระราชทานรุ่นที่ 13 ประจำปีการศึกษา 2564 เฝ้าฯ รับพระราชทานทุน เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2564 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต

ด้านการศึกษา

ด้วยทรงตระหนักในคุณค่าและความสําคัญของการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ จึงทรงสนับสนุนการศึกษาแก่ประชาชน ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร โดยมีพระราชดำริให้ดำเนิน ‘โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร’ เมื่อปี 2552 โดยมีพระมหากรุณาธิคุณให้นำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาสร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา

ต่อมาในปี 2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้ง ‘มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร‘ (ม.ท.ศ.) โดยทรงรับเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำโครงการทุนการศึกษาฯ มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสืบต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนไทยทั่วประเทศที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี มีคุณธรรม แต่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ไปแล้ว รวม 13 รุ่น มากกว่า 2,000 ราย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีไปแล้วรวม 6 รุ่น จำนวนเกือบ 700 ราย

พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินขึ้น-ลงพระบรมบรรพต (เจดีย์ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ทางบันไดจำนวน 688 ขั้น

ด้านศาสนา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญรอยตามสมเด็จบูรพมหากษัตริยาธิราช แห่งมหาจักรีราชวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงตั้งมั่นพระราชหฤทัยเกื้อหนุน เกื้อกูล เผยแผ่ และธำรงไว้ซึ่งการสืบทอดพระพุทธศาสนา ดังภาพที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ด้านศาสนา อันเป็นเป็นภาพที่ซาบซึ้งใจของราษฎรชาวไทยทุกหมู่เหล่าเรื่อยมา

ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน 2565 ทรงพระดำเนินขึ้น-ลงพระบรมบรรพต (เจดีย์ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ทางบันไดจำนวน 688 ขั้น เพื่อทรงห่มผ้าองค์พระเจดีย์บรมบรรพต และสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ แม้เส้นทางที่ทรงพระดำเนินทางบันไดแต่ละขั้นจะเต็มไปด้วยความลาดชันด้วยความสูงจากฐานถึงยอด 63.6 เมตร หากแต่ด้วยพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาในพระบวรพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงพระดำเนินขึ้นสู่ด้านบนพระเจดีย์บรมบรรพต ด้วยพระพักตร์อันสดใส

นอกจากนี้ตลอดปีที่ผ่านมายังทรงดำเนินพระราชกรณียกิจต่าง ๆ อาทิ ทรงประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระประธานพระวิหาร ‘พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง’ ณ วัดมหาวนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี  เพื่อให้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวอุบลราชธานี และถวายเป็นพุทธบูชา, ทรงเปิดแพรคลุมป้าย “เจดีย์อัฐบริขารเขมาภิรโต” และทรงประกอบพิธีสมโภช ‘พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย’  ณ  วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เป็นต้น รวมทั้งเสด็จฯ บำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ

พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10
ทรงเปิดอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565

ด้านสาธารณสุข

ทรงตระหนักว่าการมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์จะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี และสามารถทำประโยชน์ด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ พระองค์จึงได้พระราชทานความช่วยเหลือและแนวพระราชดำริการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขเรื่อยมา โดยนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด พร้อมพระราชทานพระบรมราโชบายในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ด้วยทรงห่วงใยประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์

อีกทั้งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานรถเก็บตัวอย่าง ชีวนิรภัย จำนวน 36 คัน, รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ จำนวน 5 คัน, รถเอกซเรย์ระบบดิจิทัลจำนวน 2 คัน รวมทั้งรถต่อพ่วงชีวนิรภัย จำนวน 6 คัน เพื่อปฏิบัติงานเชิงรุกภาคสนามในการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง พระราชทานชุด PPE แบบเสื้อคลุมกันน้ำชนิดใช้ครั้งเดียว ชุด PPE แบบชุดหมีกันน้ำชนิดใช้ครั้งเดียว และชุด PPE แบบเสื้อคลุมกันน้ำชนิดใช้ซ้ำได้ จำนวน 3 รุ่น รวม 700,000 ตัว และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 122 ล้านบาท ในการจัดหารถยนต์และอุปกรณ์การแพทย์ดังกล่าว เพื่อกระจายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ

พระราชทานรถเอกซเรย์ระบบดิจิทัล คันแรกในประเทศไทยที่มีระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ทันสมัยที่สุด ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทางการแพทย์ในการป้องกันดูแลสุขภาพอนามัยประชาชนอย่างครบวงจร อีกทั้งยังรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19

พร้อมกันนี้ยังพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างเท่าเทียมกัน อาทิ พระราชทานทรัพย์ จำนวน 100 ล้านบาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช, พระราชทานทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 27 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทานรถพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์สื่อสารแก่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี, โรงพยาบาลบันนังสตา จ.ยะลา, โรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก และโรงพยาบาลแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

น้ำพระราชหฤทัยยังแผ่ไปถึงผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ ในการพระราชทานทรัพย์ จำนวน 345 ล้านบาทแก่ เรือนจำ ทัณฑสถาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในโครงการ ‘ราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติศาสน์ กษัตริย์’ ให้ความช่วยเหลือพสกนิกรทุกหมู่เหล่าให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แม้เป็นผู้ต้องขังแต่ต้องเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างทั่วถึง ตามหลักมนุษยธรรมและสอดคล้องกับข้อกฎหมายเกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ ข้อกำหนดแมนเดลา และข้อกำหนดกรุงเทพฯ ที่เป็นข้อกำหนดของสหประชาชาติ

พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10
พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.หนองฝ้าย อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี

การบริหารจัดการน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับ ‘โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง’ ของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤติภัยแล้ง จำนวน 15 แห่ง ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนมศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี และพัทลุง ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกพื้นที่ จะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 37,600 ครัวเรือน หรือ 143,000 คนครอบคลุมพื้นที่กว่า 557,000 ไร่ ปริมาณน้ำรวม 11.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ช่วยประหยัดรายจ่ายให้ประชาชนกว่า 500 ล้านบาทต่อปี จากการมีน้ำดื่มสะอาดไว้บริโภค

ในการนี้ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2565 พระองค์ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.หนองฝ้าย อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ‘อีสานภาคกลาง’ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ เป็นพื้นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เงาฝน ไม่มีระบบชลประทาน ประชาชนในหนองฝ้ายต้องจ้างรถบรรทุกน้ำ สำหรับใช้อุปโภคบริโภค บางคนไม่มีน้ำใช้ในการเกษตรหรือปศุสัตว์ ต้องเสียเงินเพื่อใช้ในการสูบน้ำจากบ่อเพื่อมาทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ ทำให้มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ชีวิตเป็นอยู่แสนยากเข็ญ

พระราชทานความช่วยเหลือแก่พสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อน กรณีเกิดเหตุระเบิดและเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงภายในบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564

ด้านการบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยพบัติและความรุนแรง

ทรงทราบถึงความตั้งใจและความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแเดนภาคใต้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญสิ่งดอกไม้และสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเจ้าหน้าที่ที่สูญเสียชีวิตระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ และยังมีพระมหากรุณาธิคุณรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พร้อมทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ครอบครัวเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตยังถิ่นพำนัก เพื่อพระราชทานกำลังใจให้ครอบครัวผู้สูญเสียมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป

ภาพความเดือดร้อนแสนสาหัสของพสกนิกรเมื่อต้องประสบกับวาตภัยที่พัดพาบ้านเรือนสูญหาย หรือบ้านเรือนราษฎรที่มอดไหม้ไปกับกองเพลิงอันแสนดุร้าย มิได้อยู่ไกลจากสายพระเนตร ทันทีที่ความทุกข์ร้อนของราษฎรทราบยังฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้องคมตรี เชิญถุงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานไปมอบแก่ราษฎรผู้ที่กำลังประสบทุกข์ภัย พร้อมเชิญพระราชกระแสรับสั่งทรงห่วงใยไปกล่าวเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ราษฎรในพระองค์

ด้านความกตัญญูกตเวที

ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดถือความกตัญญูกตเวทีเป็นธรรมะประจำพระราชหฤทัย ดังที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงยึดถือปฏิบัติมาทุกยุคทุกสมัย เมื่อถึงเทศกาลสำคัญพระองค์จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบรมราชบุรพการี ตามหลักพระพุทธศาสนา และเสด็จฯ ทรงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย อันหมายถึงการถวายอาหารไหว้บรรพบุรุษตามธรรมเนียมจีนเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายราชสักการะแด่พระป้ายอันเป็นที่สถิตดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช โดย ‘พระป้าย’ เป็นป้ายชื่อของบรรพบุรุษบุพการีที่ตั้งไว้ในพระราชพิธี

นอกจากนี้เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมายังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชสำนักผู้ใหญ่ เชิญเครื่องสรงน้ำสงกรานต์ไปพระราชทานพระอนุวงศ์ผู้ใหญ่ เป็นการแสดงพระราชกตัญญุตาธรรมตามโบราณราชประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ผู้แทนพระองค์ เชิญเครื่องสรงน้ำสงกรานต์ไปพระราชทาน ม.จ.ภีศเดช รัชนี, พลเรือเอก ม.จ.ปุสาณ สวัสดิวัฒน์ และ ม.จ.มงคลเฉลิม ยุคล

พระราชกรณียกิจ ในหลวง รัชกาลที่ 10
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีสังเวยพระป้าย

Courtesy Photo of หน่วยราชการในพระองค์

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.