ครั้งมีพระดำรัสปฏิญาณว่าจะทรง “ใช้ชีวิตรับใช้ประชาชนในอังกฤษและเครือจักรภพ” ขณะพระชนมมายุเพียง 21 ปี น้อยคนนักที่จะคาดเดาได้ว่าคำมั่นสัญญาของพระองค์จะคงอยู่นานสักเพียงไร ทว่า ‘เจ้าหญิงเอลิซาเบธ’ ในวันวาน กลับเดินหน้าจารึกประวัติศาสตร์เรื่อยมาในฐานะ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของประเทศ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงเฉลิมฉลองแพลตทินัม จูบิลี่
น่าแปลกที่ 75 ปีผ่านพ้น แต่พระดำรัสปฏิญาณว่าจะรับใช้ประชาชนที่ทรงกล่าวตามพระราชพิธียังคงอยู่ แม้ในยามพระพลานามัยร่วงโรย ทรงยังรักษาคำมั่นสัญญา ไปพร้อมกับการสร้างความหวังให้กับรัชสมัยถัดไปภายใต้การนำของ ‘สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3’

เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ยามเยาว์พระชนม์ ไม่ได้ประสูติมาเพื่อเป็น ‘ราชินี’ แต่ต้องกลับกลายเป็น ‘รัชทายาท’ เมื่อพระชันษา 10 ปี หลังจาก ‘พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8’ พระมาตุลา สละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับ ‘วอลลิส ซิมป์สัน’ หญิงหม้ายชาวอเมริกัน ด้วยโชคชะตาในฐานะว่าที่กษัตริย์ ทรงพบกับบทบาทครั้งยิ่งใหญ่เร็วกว่าที่คิด จากการสวรรคตอย่างกะทันหันของพระบิดา ‘พระเจ้าจอร์จที่ 6’
ครั้นขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1952 ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 25 พรรษา และเป็นพระมารดาของพระราชโอรสและพระราชธิดาวัยเยาว์ 2 พระองค์ มีผู้คนเพียงไม่กี่คนที่มีโทรทัศน์ ประชาชนเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่มีรถยนต์ และยังเป็นสังคมที่ไร้อินเตอร์เน็ต

ยุคสมัยแห่ง ‘เอลิซาเบธที่ 2’ เริ่มต้นขึ้นช่วงหลังสงครามในอังกฤษ และดำเนินต่อมายังช่วงปัญหาในไอร์แลนด์เหนือ, ยุค Three-Day Week (มาตรการประหยัดพลังงานไฟฟ้า) ในต้นทศวรรษ 1970, สงครามฟอล์คแลนด์, การนัดหยุดงานของคนงานเหมือง และการจลาจลภาษีรัชชูปการ เปลี่ยนผ่านมาถึงการสิ้นสุดของระบบศักดินา, การผ่านกฏหมายสมรสของเพศเดียวกัน และการกำเนิดยุคมิลเลนเนียม กระทั่งสิ้นสุดลงในยุคแห่งความทันสมัยที่มีทั้งสกุลเงินดิจิทัล, รถยนต์ไร้คนขับ และ การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19
ขณะที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม และเทคโนโลยีอย่างมากมาย ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเปิดรับสิ่งใหม่อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมีเดีย หรือการพระราชทานพระราชวโรกาสให้บุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าฯ ผ่านระบบออนไลน์ในช่วงปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
พระองค์ยังเป็นพระมหากษัตริย์ที่เสด็จพระราชดำเนินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกว่า 120 ประเทศ ทรงมีพระราชดำรัสอันโดงดังว่า “ข้าพเจ้าต้องถูกพบ จึงถูกเชื่อ” (I have to be seen to be believed)

ด้วยความ “เข้มแข็งและเสมอต้นเสมอปลาย” โดยมี ‘เจ้าชายฟิลิป’ เคียงข้าง พระองค์ทรงปรับปรุงสถาบันกษัตริย์ให้ทันสมัย ปรับตัวเข้ากับกาลเวลาที่เปลี่ยนผัน แต่การอุทิศพระองค์เพื่อหน้าที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
พระองค์ยังทรงงานเกือบทุกวันแม้พระชนม์ชีพดำเนินมาถึงช่วงปลาย ทอดพระเนตรบรรดาเอกสารใน ‘กล่องแดง’ อันโด่งดัง แม้ไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ได้ด้วยพระองค์เอง
แม้ช่วงเวลาส่วนพระองค์ที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นการหย่าร้างของพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง 3 พระองค์ ความอื้อฉาวของเจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสพระองค์ที่ 2 และการสูญเสียพระราชสวามีอันเป็นที่รักยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ ล้วนไม่สามารถเบี่ยงเบนพระองค์จากหน้าที่
ความแน่วแน่และชัยชนะในการหลอมรวมธรรมเนียมอันเก่าแก่เข้ากับความทันสมัย ทำให้พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง และสร้างความมั่นใจให้กับผู้คนท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
บนเวทีโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทั่วทั้งเครือจักรภพ พระปรีชาในการผสานความยิ่งใหญ่และความดีงามนั้นยากที่จะหาใครเทียบ รวมถึงการดำรงพระองค์บนความเป็นกลางทางการเมือง และในยามวิกฤต ทรงปลอบประโลมและรวมใจผู้คนด้วยพระราชดำรัสหรือการวางพระองค์อย่างเหมาะสม

แม้แต่ภาพลักษณ์ยังยากที่หาจุดบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นพระเกศาที่โค้งงอนไร้ที่ติ ถุงพระหัตถ์สีขาว และพระกระเป๋าสีดำเรียบง่ายแบรนด์ Launer ยังสะท้อนถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือสอดคล้องกับรัชสมัย และทำให้พระองค์ทรงเป็นสตรีที่คนทั่วโลกล้วนรู้จัก
ประวัติศาสตร์บทใหม่อาจทำพวกเราหลายคนรู้สึกแปลก เนื่องด้วยภาพเงาที่คุ้นเคยของพระองค์จะถูกแทนที่ไม่ว่าบนธนบัตร เหรียญ และแสตมป์ ตลอดจนการปรากฏพระองค์ท่ามกลางสาธารณะชน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในชาติและคนทั่วโลกจำฝังใจจะไม่มีอีกต่อไป
ทว่าการครองราชย์อันเหนือการคาดหมายและความเป็นไปได้ของพระองค์ กลับเป็นแบบอย่างอันพิเศษของการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หน้าที่ และความเสียสละ ให้กับผู้ที่เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
บัดนี้เป็นเวลาที่คนทั่วโลกร่วมถวายความอาลัยแด่พระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ และชาวอังกฤษ แต่ยังคงต้องมองไปยังอนาคตเพื่อคนรุ่นหลัง ดังพระราชดำรัสในการประชุมสุดยอด Cop26 เมื่อปีที่แล้ว
“พวกเราไม่มีใครในพวกเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป แต่เราไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อลูกหลานของเรา และเพื่อคนที่จะเดินตามรอยเท้าของพวกเขาต่อไป”
Credit Images: The Royal Family Facebook Original Text: HELLO! UK