๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งสองพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ตามโบราณราชพระเพณี ณ วังสระประทุม ใน พ.ศ ๒๔๙๓

นับจากวันนั้นเกือบทุกพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารแค่ไหน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถก็ทรงเสด็จฯ เคียงข้างด้วยเสมอ เป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตคู่ที่ยืนยาว และคอยสนับสนุนกันและกันตลอดมา สร้างความปีติสุขให้เกิดขึ้นกับพสกนิกรไทย หลายคนอาจเข้าใจคำว่า “รักแท้” ในทันทีเมื่ออ่านเรื่องราวการพบรักสุดโรแมนติก และได้เห็นพระจริวัตรอันงดงามของทั้งสองพระองค์ที่มีต่อกันตลอดมา

เรื่องราวความรักแสนอบอุ่นหัวใจคนไทย เริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ.๒๔๙๑ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไปทอดพระเนตรโรงงานต่อรถยนต์ในประเทศฝรั่งเศส ที่นั่นครอบครัวของเอกอัครราชทูต หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ได้ไปเฝ้าฯ รับเสด็จใต้เงาไม้อันร่มรื่นของบ้านหลังใหญ่ จากเวลาที่รอยาวนานผิดปกติเพราะพระราชพาหนะชำรุด ทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร หรือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในตอนนั้น รู้สึกไม่ประทับใจ เนื่องด้วยเหนื่อยและหิวจากการรอ กลายเป็นการ “เกลียดตั้งแต่แรกพบ” ตามที่พระองค์เคยได้พระราชทานสัมภาษณ์นักข่าวสถานีโทรทัศน์บีบีซีไว้
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ เยือนฝรั่งเศสอีกหลายครั้งเพื่อทอดพระเนตรรถยนต์ และเสวยพระกระยาหารจนกระทั้งคุ้นเคยกับครอบครัวเอกอัคราชทูต โดยเฉพาะธิดาคนโต ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นที่ต้องในพระราชอัธยาศัยโดยเฉพาะด้านดนตรี จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็พัฒนาเป็นมิตรที่ดีต่อกันในที่สุด


บทพิสูจน์รักแท้ เริ่มต้นเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในเมืองมอนเนย์ใกล้ทะเลสาบเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะพักรักษาพระอาการ พระองค์หยิบรูปของหญิงอันเป็นที่รักออกมาจากกระเป๋า และมีรับสั่งว่า “ข้าพเจ้ารักเธอ ช่วยตามเธอมา” รูปนั้นก็คือใบหน้าของ ม.ร.ว. สิริกิติ์ ที่พระองค์แอบฉายพระรูปและตัดเก็บเอาไว้ในกระเป๋าด้วยพระองค์เอง “พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงจับมือ จับอยู่นานพอสมควร…” ประโยคนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์กับนักข่าวต่างประเทศถึงเรื่องราวขณะที่พระองค์เสด็จฯ ไปเข้าเฝ้าฯ ที่โรงพยาบาลในสวิตเซอร์แลนด์ทันทีที่ทราบข่าว
เมื่อความสัมพันธ์แนบแน่นมากขึ้นจนกลายเป็นความรัก วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ สมเด็จพระบรมราชชนนีมีพระดำรัสขอ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ต่อ ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสวมพระธำมรงค์เป็นของหมั้นแก่ ม.ร.ว.สิริกิติ์ พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่ายและอบอุ่น
๒๘ เมษายน พ.ศ ๒๔๙๓ วันแห่งความปีติสุขของคนไทยก็เกิดขึ้นเมื่อสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเสกสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ตามโบราณราชประเพณี ณ วังสระปทุม ในวันนั้นม.ร.ว.สิริกิติ์ สวมชุดเจ้าสาวสีงาช้าง เสื้อแขนยาวปีกลายกนกทองงดงาม ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเครื่องแบบเต็มยศประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งสองพระองค์ลงนามในสมุดทะเบียนสมรส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงจดทะเบียนสมรสตามกฏหมาย ปกสมุดหุ้มด้วยหนังแกะสีเหลืองเข้ม กลางปกเป็นหนังสีน้ำตาล มีอักษรสีทองจารึกว่าเป็นสมุดทะเบียนสมรส ข้อความในสมุดทุกอย่างเป็นเหมือนสมุดทะเบียนสมรสทั่วไป ทรงโปรดทำตามระเบียบทุกอย่าง ตั้งแต่ยื่นคำร้องของจดทะเบียนสมรส และเสียค่าธรรมเนียม 10 บาท อย่างถูกต้อง (จากหนังสือ ‘ที่สุดของหัวใจ’) และในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร เป็นสมเด็จพระบรมราชินีสิริกิติ์ ในทันที

ตลอดระยะเวลายาวนานกว่า ๗๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนีนาถ ทรงเคียงคู่กันทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรมาโดยตลอด เป็นที่ประจักษ์ว่าความรักของทั้งสองพระองค์ไม่ใช่เพียงเป็นความรักทั่วๆ ไป แต่เป็นรักอันยิ่งให้ที่มอบให้แก่ผู้อื่นด้วย อย่างมากมายมหาศาล นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้สำหรับปวงชนชาวไทย