หน้าปัดบนนาฬิกาข้อมือได้เปลี่ยนผ่านจากที่เคยเป็นเรือนบอกเวลา กลายเป็น เครื่องประดับอันล้ำค่า ‘โอเดอมาร์ ปิเกต์’ ที่สะท้อนถึงความใส่ใจในเรื่องราวของผู้คนในยุคดิจิตัล กว่า 143 ปีที่ผ่านไป ‘โอเดอมาร์ ปิเกต์’ ยังคงเป็นผู้ผลิตเพียงไม่กี่เจ้าที่ยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งจวบจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ยอมให้ความล้ำสมัยนั้นกลืนกินอุดมการณ์ และจิตวิญญาณที่สั่งสมมา และนี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เช่นกัน ที่ ‘โอเดอมาร์ ปิเกต์’ จะนำตำนานและความล้ำค่าต่างๆ ส่งตรงจากเลอ บราซู เมืองแหล่งกำเนิด สู่กรุงเทพมหานคร ผ่านนิทรรศการเต็มรูปแบบครั้งแรกในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่าเรื่องราวทุกอย่างที่คุณอยากรู้ โชว์สิ่งประดิษฐ์อันซับซ้อนชิ้นต่างๆ ที่คุณอาจยังไม่เคยเห็น เพื่อตอกย้ำความละเอียดละออในงานคราฟท์ระดับตำนานแบบไม่มีใครเหมือน

นิทรรศการถูกเนรมิตอย่างยิ่งใหญ่กลางห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองหลวง จะแบ่งการจัดแสดงเป็นโซนต่างๆ โดยจะมีไกด์ค่อยๆ พาคุณเข้าสู่โลกแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 143 ปี อย่างลึกซึ้ง อาทิ โซน ‘วัลเลย์ เดอ ฌูซ์’ ต้นกำเนิดของศาสตร์การผลิตนาฬิกา เหมือนนั่งไทม์แมชีนย้อนกลับไปดูวิวัฒนาการ รวมทั้งนวัตกรรมต่างๆ ที่ทายาททุกรุ่นส่งต่อ และสืบทอดกันมาได้เพอร์เฟ็คอย่างภาคภูมิใจ หล่อหลอมให้ ‘โอเดอมาร์ ปิเกต์’ อยู่ในแถวหน้าของแบรนด์นาฬิการะดับลักชัวรี่ปราศจากข้อสงสัยใดๆ

ไฮไลท์ของงานอยู่ตรงที่ ผู้เข้าชมทุกคนจะได้เห็นเรือนเวลาของจริงซึ่งพาเหรดกันมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างระมัดระวังรวมกว่า 50 เรือน! ซึ่งปกติแล้วถูกดูแลและเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์อย่างพิถีพิถัน เพราะบางเรือนนั้นมีอายุมากกว่า 100 ปี! ที่คุ้นหูและชินตาคนไทยหน่อยเห็นจะเป็นรุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ อันโด่งดังที่ทำให้ ‘โอเดอมาร์ ปิเกต์’ เป็นที่รู้จักในระดับสากล ส่วนเรือนที่ทุกคนตั้งตารอได้ยล คือ Triple Complication รุ่นบุกเบิกปี 1880 หรือไม่ก็เป็นกลไกที่บางที่สุดในโลก ก็ถูกยกมาจัดแสดงในงานนี้เช่นอีก

ไม่เพียงแค่นาฬิกาเรือนสำคัญ และภาพถ่ายสวยๆ ที่จะถูกจัดแสดงในงานนี้ ยังมีผลงานศิลปะจาก ‘อริญชย์ รุ่งแจ้ง’ ศิลปินไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเกียรติให้ร่วมงานกับ ‘โอเดอมาร์ ปิเกต์’ อย่างเป็นทางการ อริญชย์เป็นศิลปินไทยรุ่นใหม่ซึ่งผลงานแนว Installation Art ของเขามักทำให้เราได้หยุดดูและขบคิด ผสานไว้ด้วยความสวยงามและบริบทรอบตัวได้อย่างลงตัวและไม่เหมือนใคร ความเปิดกว้างของแบรนด์ระดับตำนาน ที่ชักชวนศิลปินร่วมสมัยเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงรอยต่อแห่งประวัติศาสตร์ และการให้คุณค่าต่อศาสตร์แห่งศิลป์ รวมทั้งอัตลักษณ์ร่วมของทั้งสอง นั่นก็คือมาสเตอร์พีซที่มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังในทุกๆ ชิ้น

นิทรรศการ ‘From Le Brassus to Bangkok’ จะจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 8 – 17 มิถุนายน 2561 เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.30 น. – 20.00 น. บริเวณชั้น G ลานเอเทรี่ยม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี สำหรับไกด์นำชม มีบริการสำหรับรอบวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์ โดยผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ Click Here – – ถ้าพลาดงานนี้ไป คงต้องซื้อตั๋วบินไปชมไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์เลยนะคะ!