เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์สำคัญของ NASA กับภารกิจ Apollo 13 โดยมีนาฬิกาโครโนกราฟ OMEGA Speedmaster Professional กลายเป็นพระเอก และเป็นหนึ่งในอุปกรณ์อย่างเป็นทางการของ NASA สำหรับทุกภารกิจอวกาศที่มีมนุษย์นับตั้งแต่ปี 1965 เหตุการณ์ในวันนั้นสำคัญอย่างไร HELLO! จะมาเล่าให้ฟังค่ะ

James Ragan วิศวกรของ NASA เคยกล่าวไว้ว่า “นาฬิกาถือว่าเป็นอุปกรณ์สำรองที่มีความสำคัญยิ่งยวด หากนักบินอวกาศไม่สามารถติดต่อสถานีภาคพื้นได้ หรือเครื่องบอกเวลาดิจิตอลมีปัญหา ของชิ้นเดียวที่พวกเขาจะสามารถฝากชีวิตได้ก็คือนาฬิกาที่สวมอยู่บนข้อมือ”
เหตุการณ์ระทึกครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากการปล่อยตัวหลังถังออกซิเจนเกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิดพังส่วนยานบริการจนใช้งานต่อไม่ได้ ชีวิตของเหล่านักบินอวกาศตกอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตาย ภารกิจไปดวงจันทร์กับยาน Apollo 13 ถูกยกเลิก และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพาลูกเรือกลับสู่โลกอย่างปลอดภัย ซึ่งตอนนั้นพวกเขาหาวิธีประยุกต์ด้วยการย้ายนักบินอวกาศเข้าไปอยู่ยานสำรวจดวงจันทร์ แต่ยานไม่ได้ออกแบบให้จุคนได้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องประหยัดพลังงานด้วยการปิดอุปกรณ์เกือบทุกระบบ

ซึ่งตอนนั้นทำให้นักบินอวกาศทุกคนลอยเคว้งคว้างอยู่อวกาศท่ามกลางอุณหภูมิติดลบเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากยานหลุดออกจากเส้นทางเดิมไปราว 60 ถึง 80 ไมล์ทะเล หมายความว่ายานจะไม่ได้ตรงเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ลูกเรือจึงต้องตั้งค่าด้วยสองมือตัวเอง พวกเขาต้องเปิดการทำงานเครื่องยนต์เป็นระยะเวลา 14 วินาที ไม่ขาดไม่เกิน ห้ามผิดพลาด

และเมื่อไม่มีอุปกรณ์ดิจิตอล พวกเขาจึงอาศัยความเที่ยงตรงของนาฬิกาโครโนกราฟ OMEGA Speedmaster บนข้อมือของ Jack Swigert นักบินประจำยานควบคุมเพื่อจับเวลาในการจุดเชื้อเพลิง ส่วนทาง James Lovell ผู้ควบคุมภารกิจ ก็ใช้เส้นขอบฟ้าเป็นจุดนำทาง และหลังจากผ่านไป 142 ชั่วโมงกับอีก 54 นาทีหลังจากปล่อยตัว ยาน Apollo 13 ก็สามารถลงจอดบนมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ได้อย่างปลอดภัย
และในปีนี้ก็ครบ 50 ปีของภารกิจนี้ค่ะ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า นาฬิกาโครโนกราฟ OMEGA Speedmaster สามารถทำหน้าที่ได้อย่างแม่นยำที่สุด และยังคงเป็นที่ไว้วางใจของ NASA มาจนถึงปัจจุบันนี้